เหตุผลว่า ทำไมเพื่อนสมัยเรียนมัธยมถึงดีที่สุด สนิทใจได้มากที่สุด

เหตุผลว่า ทำไมเพื่อนสมัยเรียนมัธยมถึงดีที่สุด สนิทใจได้มากที่สุด

เหตุผลว่า ทำไมเพื่อนสมัยเรียนมัธยมถึงดีที่สุด สนิทใจได้มากที่สุด

เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมโตขึ้นมาถึงมีเพื่อนน้อย และคบกันได้ไม่นานก็ลืมกันไปแล้ว แต่วัยที่ยังคบสนิทใจกันได้ดีที่สุดก็คือเพื่อนสมัยมัธยม มากว่าตอนมหาลัยหรือวัยทำงาน เพราะอะไรนั้นเราไปดูกันเลย

10 เหตุผล เพื่อนสมัยเรียนมัธยมชคบกันได้ย าวนาน

“ทำไมเพื่อนสมัยมัธยมจึงคบกันนาน” นี่คือสิ่งที่หลายคนสงสัยมาย าวนาน เพื่อนไหนๆ ก็ไม่สนิทเท่าเพื่อนที่เรียนสมัยอยู่มัธยม มาดูกันครับว่าเพราะอะไร ?

1 ไม่มีเปลือก

มีแต่ตัวตนจริงๆ ใครเป็นใคร..อย่ างไร..เห็นกันหมดใครเรียนเก่ง ใครอ่อน ใครโ ง่ ฉลาด ขยัน ขิ้เ กี ย จ แม่กระทั่งพ่อแม่เป็นใคร มีสตางค์หรือไม่มี รู้กันหมด ไม่ต้องมาทำฟอร์มใส่กัน

2 ไม่มีผลประโยชน์

เพื่อนสมัยมัธยม ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง คบกันได้เพราะ “มรึงกับกรู” เหมือนๆกัน ไม่ใช่เพราะจะพึ่งพาอะไรกันมากมาย อย่ างดีก็แค่ “ขอกรูลอกการบ้านมึ งหน่อย” พอเอาไปส่งครู ตอบผิดด้วยกันทั้งคู่เลยก็มีบ่อยๆ เพราะไปลอกของมัน ดีมั๊ยดี ทำเองยังอาจจะถูกบ้างบางข้อ

3 รู้จักกันถึงพ่อ ถึงแม่ ถึงพี่น้อง บ้านช่อง รู้ใส้ รู้พุ งกันหมด

สนิทกับแบบไม่มีอะไรปิดกั้น สนิทกันขนาดเรียกชื่อเพื่อนเป็นชื่อพ่อมัน จนกระทั่งเรียนจบก็มี บางทีเรียกชื่อมัน(ซึ่งเป็นชื่อพ่อเพื่อน) พ่อมันขานเราก็มี เพราะพ่อมันนึกว่าเรียกเขา ที่ดีคือ เพื่อนมันไม่เคยโกรธเลย

4 หัดจีบสาวพร้อมๆกัน

ด้วยลีลาที่นึกถึงทุกวันนี้ยังเกิดคำถามกับตัวเองว่า”กรูทำไปได้ยังไง” แต่ก็เป็นการจีบแบบใสๆซื่อๆ ทั้งๆที่รู้ว่า จีบไปก็เท่านั้น “เหมือนห ม าเห็นปลากระป๋อง”ยังไงยังงั้น เล่ากันเมื่อไหร่ ก็ฮากันเมื่อนั้น บางทีนึกดีใจด้วยซ้ำ ที่ไม่จีบเป็นจริงเป็นจังจนขอแต่งงาน เพราะมาเจออีกที หลังเกษียณ แก่ไม่มีที่ติจริงๆ (จริงๆ ก็แก่ทั้งคู่นั่นแหละ ระหว่างเรากับเขา)

5 ทำอะไรโ ง่ๆเหมือนกัน

วัยมัธยมเป็นวัยรอยต่อของความเป็นเด็ ก กับวัยรุ่น ที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ จึงมีเรื่องโ ง่ๆให้ทำเยอะมาก ทุกคนในกลุ่มที่คบกัน จะมีเรื่องโ ง่ๆให้ทำแตกต่างกันออกไป จนไม่มีใครดูฉลาดกว่ากันในสายตาของผู้ใหญ่ เพราะคิดทำการแต่ละเรื่อง มีแต่เรื่องโ ง่ๆ ทั้งนั้น มันเลยคบกันได้มาย าวนาน เพราะไม่ต้องมีใครอายใครนั่นเอง

6 กิน นอน เที่ยว ด้วยกัน

วัยมัธยม เป็นวัยที่ติดกันยังกับตังเม ไปไหนไปกันเป็นฝูง เกาะกลุ่มกันแน่น กินก็กินด้วยกัน ทั้งๆที่ไม่ค่อยจะมีอะไรให้กิน นอนก็นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยกัน หลับได้เพราะเพลีย ที่ไปทำทะโมนมาทั้งวัน ความผูกพันมันจึงถูกหล่อหลอมจนเป็นเนื้อเดียวกัน วันละนิด ละหน่อย จนแยกกันไม่ออก

7 ขอเงินกันกินขนม แทนการขอยืม

ด้วยที่สมัยนั้น ทุกคนได้เงินมาโรงเรียนไม่มากมายอะไร แค่หลักสิบบาทเท่านั้น จะต่างกันไปตามฐานะของแต่ละบ้านบ้าง แต่ก็ไม่กี่บาท ความอดอย ากปากแห้ง จึงมาเยือนชนิดไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ การขอเงินเพื่อนกินขนม หรืออเมริกันแชร์ หรือให้เพื่อนเลี้ยง จึงเป็นเรื่องปกติ การ”ขอยืม”เงินเพื่อนสมัยนั้นไม่ค่อยมีให้เห็น มีแต่”ขอเลย” หรือ “ขอลืม”เท่านั้น

8 เรามาพบเจอกันในแต่ละครั้งหลังจากจบการศึกษา

เราได้เห็นวิวัฒนาการ และการเติบโต ของเพื่อนในกลุ่มแต่ละคน พร้อมกับได้รื้อฟื้นความหลัง ความทรงจำเก่า ที่เราร่วมทำกันมา นัยหนึ่งก็เหมือนเป็นการลดอัตตาตัวตนของตนเองไปในเวลาเดียวกันว่า

9 โดนครูดุ ด่ า ทำโ ท ษมาด้วยกัน

จนไม่เหลือย างอายอะไรให้อายอีกแล้ว ใหม่ๆอาจจะอายเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงเป้าหมายตา ที่อยู่ในห้องเดียวกัน พอนานเข้า ทั้งเขาและเราก็ชินกันไปเองจนไม่มีใครอายใคร

10 มีอดีตและวีรกรร มร่วมกันมาย าวนาน

เพื่อนที่คบกันมาจนสนิท แนบแน่น จะมีประวัติศาสต์หรือวีรกรร มที่ร่วมทำกันมามากมายหลายรสชาติ จนเล่ากี่ครั้งก็ไม่มีวันหมด ทุกครั้งที่กลับไปเยี่ยมเยียนสถาบันที่เคยเล่าเรียนกันมา ก็จะจดจำภาพได้ทุกภาพ ว่าอะไรอยู่ตรงไหน มะม่วงต้นไหนที่ใครเคยปีน ใครโดนครูทำโ ท ษตรงไหน อย่ างไร ฯลฯ จำได้หมด ล้วนเป็นวีรกรร มแบบโง่ๆไม่แตกต่างกันเท่าไหร่

 

” ไม่ว่าวันนี้..ทุกคนจะมาไกลแค่ไหน แต่เราก็มีจุ ดเริ่มต้นที่ไม่ต่างกันคือ ความเป็นเพื่อนที่ไม่มีกีดขวางระหว่าง”มรึงกับกรู”ไปได้เท่านั้นเอง”

ขอบคุณที่มา ดร.พนม ปีย์เจริญ

เรียบเรียงโดย 108archeepparuay